ขายดีแต่เงินหายไปไหน? จัดระบบเก็บเงินง่าย ๆ ไม่ช็อตปลายเดือน
คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมยอดขายเข้าทุกวัน วันละพัน สองพัน แต่พอถึงสิ้นเดือนกลับไม่รู้ว่าเงินหายไปไหนหมด? นี่เป็นปัญหาที่พบบ่อยมากสำหรับพ่อค้าแม่ค้าและเจ้าของร้านรายย่อย โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจ ความจริงที่หลายคนต้องยอมรับคือ การ "ขายเก่ง" ไม่ได้แปลว่า "เก็บเก่ง" เสมอไป หลายคนมีทักษะการขายที่ยอดเยี่ยม แต่กลับไม่มีระบบการจัดการเงินที่ดีพอ ทำให้เงินธุรกิจกับเงินส่วนตัวปนกัน จนไม่สามารถแยกได้ว่าอะไรคือกำไรที่แท้จริง อะไรคือเงินที่ควรนำไปลงทุนต่อ และเก็บเงินไม่อยู่ บทความนี้ เงินให้ใจ จะพาคุณมาจัดระบบเงินแบบเข้าใจง่าย เก็บเงินยังไงให้อยู่ ไม่ต้องเป็นนักบัญชีก็เริ่มได้ เพื่อให้ขายดีแล้วเงินอยู่กับเราจริง ๆ ไม่หายไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น และมีเงินเหลือเก็บในทุก ๆ เดือน
Step 1 - แยกเงินธุรกิจออกจากเงินส่วนตัวให้เด็ดขาด
ก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการจัดการเงินสำหรับคนค้าขาย คือการแยกเงินธุรกิจออกจากเงินส่วนตัวอย่างชัดเจน นี่คือพื้นฐานที่หลายคนมักมองข้าม ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เงินดูเหมือนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
วิธีที่แนะนำคือ การเปิดบัญชีธนาคาร "รับเงินร้าน" แยกออกมาต่างหากจากบัญชีส่วนตัวที่ใช้จ่ายประจำวัน โดยทุกครั้งที่มีรายได้เข้ามา ให้แบ่งเงินเข้าสองบัญชีทันที:
1. บัญชีธุรกิจ : ใช้สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับร้านค้าโดยเฉพาะ เช่น ซื้อสินค้ามาขาย จ่ายค่าขนส่ง ค่าบรรจุภัณฑ์ หรือค่าโฆษณา
2. บัญชีส่วนตัว : ใช้สำหรับค่าใช้จ่ายส่วนตัวประจำวัน เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง หรือค่าสาธารณูปโภคในบ้าน
แนวคิดสำคัญที่ต้องยึดถือคือ เงินธุรกิจคือ "ต้นทุนชีวิต" ที่จะทำให้คุณมีรายได้อย่างยั่งยืน อย่าเอาไปใช้จ่ายส่วนตัวก่อนจะรู้ผลกำไรที่แท้จริง และก่อนที่จะแน่ใจว่ามีเงินเพียงพอสำหรับการลงทุนต่อยอดธุรกิจ
หากธุรกิจของคุณยังเป็นกิจการเล็ก ๆ การแยกบัญชีแบบนี้จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมทางการเงินได้ชัดเจนขึ้น และป้องกันไม่ให้เงินธุรกิจถูกดึงไปใช้ในเรื่องส่วนตัวมากเกินไป
Step 2 - รู้รายรับ-รายจ่ายจริง ด้วยการ "จดทุกวัน"
หลังจากแยกบัญชีแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการจดบันทึกรายรับและรายจ่ายทุกวัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำบัญชีที่ซับซ้อน เพียงแค่บันทึกตัวเลขลงในแอปพลิเคชันบนมือถือหรือสมุดจดก็เพียงพอ
แนะนำให้แบ่งหมวดหมู่การบันทึกออกเป็น 3 หมวดหลัก
1. รายได้ต่อวัน : จดยอดขายทั้งหมดที่ได้รับในแต่ละวัน
2. ต้นทุนสินค้า : บันทึกค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้ามาขาย รวมถึงค่าวัตถุดิบต่าง ๆ
3. ค่าใช้จ่ายจิปาถะ : รวมถึงค่าน้ำมัน ค่าขนส่ง ค่าบรรจุภัณฑ์ ค่าออกแบบ หรือแม้แต่ค่ากาแฟที่ดื่มระหว่างทำงาน
เมื่อจดบันทึกครบ 1 เดือน คุณจะเริ่มเห็นภาพรวมว่าเงินหายไปที่ไหนบ้าง อาจพบว่ามีการซื้อของซ้ำโดยไม่จำเป็น หรือเสียเงินไปกับโปรโมชั่นส่งฟรีที่ไม่ได้ช่วยเพิ่มยอดขายอย่างที่คิด หรืออาจพบว่ามีค่าใช้จ่ายบางอย่างที่สูงเกินไปเมื่อเทียบกับรายได้
การจดบันทึกไม่ได้มีไว้เพื่อให้รู้สึกผิดเมื่อใช้เงิน แต่เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมการใช้เงินของตัวเองและธุรกิจ ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจทางการเงินที่ดีขึ้นในอนาคต
Step 3 - ตั้งกฎ "ขายได้เท่าไร ต้องเก็บทันที X%"
หลักการสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งคือ "เก็บก่อนใช้" ไม่ใช่ "เหลือค่อยเก็บ" เพราะถ้ารอให้มีเงินเหลือค่อยเก็บ โอกาสที่จะมีเงินเหลือนั้นแทบจะเป็นศูนย์
แนะนำให้ตั้งกฎสำหรับตัวเองว่า จะต้องหักเงินจำนวนหนึ่ง ประมาณ 10-20% ของยอดขายในแต่ละวัน เข้าบัญชีออมเงินทันทีที่มีรายได้ ไม่ว่าวันนั้นจะขายดีหรือไม่ก็ตาม
หากคุณใช้บัญชีธนาคารดิจิทัล สามารถตั้งค่าให้ระบบโอนเงินเข้าบัญชีออมเงินโดยอัตโนมัติได้ทันทีที่มีเงินเข้า ซึ่งจะช่วยให้การเก็บเงินเป็นไปอย่างสม่ำเสมอและไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก
แนวคิดสำคัญคือ เงินที่เก็บต้องแยกทางกายภาพออกจากเงินใช้อย่างชัดเจน ไม่เช่นนั้นจะมีโอกาสสูงที่เงินจะถูกนำไปใช้จ่ายในเรื่องอื่น เพราะเมื่อเห็นว่ามีเงินอยู่ในบัญชี มนุษย์เรามักจะมีแนวโน้มที่จะใช้มันให้หมด
Step 4 - ใช้กฎ 50-30-20 เวอร์ชันแม่ค้ารายวัน
หลักการ 50-30-20 เป็นวิธีการจัดสรรเงินที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับมนุษย์เงินเดือน แต่สามารถปรับใช้กับคนค้าขายได้เช่นกัน โดยแบ่งสัดส่วนดังนี้
- 50% สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น : รวมถึงต้นทุนสินค้า ค่าขนส่ง ค่าเช่าที่ขาย ค่าจ้างพนักงาน (ถ้ามี) และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับการดำเนินธุรกิจ
- 30% สำหรับเงินส่วนตัว : คือเงินเดือนที่คุณจ่ายให้ตัวเอง ใช้สำหรับค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายในครอบครัว และค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่น ๆ
- 20% สำหรับเงินเก็บหรือเงินสำรอง : แบ่งออมเงินระยะยาว เงินสำหรับขยายธุรกิจ หรือเงินสำรองเผื่อยามฉุกเฉิน
สำหรับคนที่มีรายได้ไม่แน่นอน อาจปรับเปลี่ยนเป็นการเก็บเงินเป็นรายสัปดาห์แทนรายเดือน เพื่อให้เห็นภาพรวมได้ชัดเจนและจัดการได้ง่ายขึ้น โดยทุกสัปดาห์ให้นำรายได้ทั้งหมดมาแบ่งตามสัดส่วนข้างต้น
หลักการนี้ช่วยให้คุณมีเงินเพียงพอสำหรับการดำเนินธุรกิจ มีเงินใช้ส่วนตัวโดยไม่ต้องรู้สึกผิด และมีเงินเก็บสำหรับอนาคตด้วย
Step 5 - มีเงินสำรองไว้หมุน ไม่ต้องพึ่งกู้ระยะสั้น
ธุรกิจค้าขายมักมีช่วงขึ้น-ลง บางเดือนอาจขายดีเป็นพิเศษ บางเดือนอาจมียอดขายที่น้อยลง การมีเงินสำรองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ในช่วงที่ยอดขายไม่ดี
ควรตั้งเป้าให้มี "เงินสำรองอย่างน้อย 1 เดือนของรายจ่ายร้าน" เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น สินค้าเสียหาย อุปกรณ์ชำรุด หรือยอดขายตกฮวบในบางช่วง ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งการกู้ยืมเงินระยะสั้นที่มักมาพร้อมกับดอกเบี้ยสูง
แนะนำให้แยกบัญชีสำรองออกมาต่างหาก อาจเป็นบัญชีฝากประจำที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป แต่ยังสามารถถอนได้เมื่อจำเป็น หรืออาจเป็นบัญชีดิจิทัลที่ให้ดอกเบี้ยที่น่าสนใจ
เงินสำรองนี้จะเป็นเหมือน "ถังออกซิเจน" ที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณหายใจได้ในยามที่ขาดสภาพคล่อง และช่วยให้คุณมีความมั่นใจมากขึ้นในการดำเนินธุรกิจ
Step 6 - หยุดวงจร "รูดก่อน คิดทีหลัง"
หลายคนมีนิสัย "รูดก่อน คิดทีหลัง" โดยเฉพาะเมื่อมีบัตรเครดิตในมือ พ่อค้าแม่ค้าหลายรายใช้บัตรเครดิตในการซื้อของมาสต็อกโดยไม่มีแผนการชำระเงินที่ชัดเจน ซึ่งสุดท้ายแล้วดอกเบี้ยจากบัตรเครดิตจะกินกำไรจนหมด
หากจำเป็นต้องใช้บัตรเครดิตในการซื้อของ ควรใช้เท่าที่จำเป็นและวางแผนให้สามารถจ่ายคืนเต็มจำนวนในแต่ละเดือน เพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยที่สูงลิบ
ถ้าต้องการลงทุนเพิ่มในธุรกิจ ควรใช้เงินออมที่มีอยู่แล้วมาลงทุน แทนที่จะพึ่งหนี้หมุนเวียนระยะสั้น เพราะการลงทุนด้วยเงินออมจะทำให้คุณคิดอย่างรอบคอบมากขึ้นและประเมินความคุ้มค่าได้ดีกว่า
จำไว้ว่า บัตรเครดิตควรเป็นเครื่องมือในการอำนวยความสะดวก ไม่ใช่เครื่องมือในการสร้างหนี้ หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง อาจกลายเป็นบ่วงที่ทำให้ธุรกิจของคุณติดกับดักหนี้ได้
Step 7 - ตรวจบัญชีทุกสิ้นเดือน แล้วตั้งเป้ากำไรใหม่
ทุกสิ้นเดือน ควรแบ่งเวลาสัก 1-2 ชั่วโมงเพื่อทบทวนบัญชีรายรับ-รายจ่ายทั้งหมดของเดือนที่ผ่านมา นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมทางการเงินและตรวจสอบว่าเงินหายไปไหน
หากพบว่าเงินไม่เหลือตามที่ตั้งใจไว้ ให้วิเคราะห์ว่าเงินรั่วไหลตรงจุดไหน อาจเป็นเพราะต้นทุนสูงเกินไป ค่าใช้จ่ายส่วนตัวมากเกินไป หรืออาจเป็นเพราะขาดวินัยในการแยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว
หลังจากการตรวจสอบ ให้ตั้งเป้าหมายใหม่สำหรับเดือนถัดไป เช่น "จะเก็บเงินเพิ่ม 10% จากเดือนก่อน" หรือ "จะลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง 500 บาท" การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้จะช่วยให้คุณมีแรงจูงใจในการปรับปรุงสถานะทางการเงินของตัวเองและธุรกิจ
แนวคิดสำคัญคือ ระบบการเงินที่ดีเริ่มจากการ "กล้าดูบัญชีตัวเอง" อย่างตรงไปตรงมา ไม่หลอกตัวเอง ไม่หลีกเลี่ยงความจริง เพราะการรู้สถานะทางการเงินที่แท้จริงคือก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลง
สรุป
การมียอดขายที่ดีเป็นผลมาจากความขยันและความสามารถในการขาย แต่การมีเงินเหลือเก็บเป็นผลมาจากระบบการจัดการเงินที่ดี ไม่ว่าคุณจะขายดีแค่ไหน หากไม่มีวินัยและระบบในการจัดการเงิน เงินก็จะหมดไปอย่างรวดเร็ว
แต่หากคุณเริ่มจัดระบบการเงิน ออมเงินตั้งแต่วันนี้ แม้ไม่ต้องเพิ่มยอดขาย คุณก็จะมีเงินเหลือมากขึ้นในทุก ๆ เดือน เพราะคุณรู้ว่าเงินไปไหน เก็บเงินยังไงให้อยู่ และสามารถควบคุมการไหลเวียนของเงินได้
การเป็นพ่อค้าแม่ค้าที่ประสบความสำเร็จไม่ได้วัดกันที่ยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่วัดที่ความสามารถในการทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับตัวเองและครอบครัว เริ่มต้นจัดระบบวันนี้ แล้วคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าประหลาดใจในไม่ช้า
สำหรับใครที่ต้องการกู้สินเชื่อ สินเชื่อรถแลกเงินเป็นหนึ่งในคำตอบและวิธีการที่ดีที่สุดของคุณ กับเงินให้ใจที่มีความน่าเชื่อถือจากบริษัท เงินให้ใจ จำกัด เป็นบริษัทที่ให้บริการ สินเชื่อรถกระบะ ซึ่งปัจจุบันลูกค้าสามารถขอใช้บริการได้ที่ ธนาคารกสิกรไทย ทุกสาขา และศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม คำนวณวงเงินสินเชื่อและสมัครสินเชื่อได้ทันทีที่ https://www.ngernhaijai.com/
“กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี สินเชื่อจำนำเล่มทะเบียนรถ 12.82% - 24.00% สินเชื่อโอนเล่มทะเบียนรถ แบ่งเป็นกรณีบุคคลธรรมดามีวัตถุประสงค์ใช้รถเพื่อการส่วนตัว 6.08% - 15.00% และกรณีบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ใช้รถเพื่อการพาณิชย์ 6.08% - 26.62%”
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.ngernhaijai.com/
Line : https://bit.ly/3zDd5Kz
เงินให้ใจ โทร : 02 078 8899
เผยแพร่ 13 พ.ย. 2568
บทความอื่น ๆ
ดอกเบี้ยผิดนัดคืออะไร? ทำไม ยอดหนี้พุ่งเร็วกว่าที่คิด!
เข้าใจดอกเบี้ยผิดนัดภายใต้กฎหมายใหม่ ดอกเบี้ยสูงสุดคิดได้เท่าไร? ผิดนัดกี่วันเริ่มคิดดอก? และวิธีป้องกันไม่ให้ยอดหนี้บานแบบไม่รู้ตัว
เผยแพร่ 13 พ.ย. 2568
ก่อนจะ "ค้ำประกัน" ให้ใคร... คิดให้ดี! ไม่งั้นอาจเป็นหนี้แทนเพื่อนแบบงง ๆ
ค้ำประกันคืออะไร เสี่ยงแค่ไหน กระทบเครดิตยังไง เช็กให้ครบก่อนเซ็น พร้อมเช็กลิสต์ตัดสินใจที่ปลอดภัยกว่า
เผยแพร่ 13 พ.ย. 2568
แม่ค้า Street Food ยุคใหม่ต้องรู้! อัพเกรดการเงินให้เหลือเก็บทุกเดือน
ขายดีแต่ไม่รู้เงินหายไปไหน? รู้เทคนิคจัดการเงินแบบแม่ค้าสมัยใหม่ วางระบบเงินหมุน เก็บยังไงให้อยู่ เหลือกำไรทุกเดือนจริง
เผยแพร่ 13 พ.ย. 2568