เช็ครถ ขับรถส่งของ รถตัวเอง

วิ่งส่งของหนักทุกวันต้องรู้! เช็กลิสต์ดูแลรถก่อนออกถนนให้ปลอดภัยทุกเที่ยว

ชีวิตประจำวันของคนขับรถส่งของ คือการเร่งรีบแข่งกับเวลา ต้องรีบขน รีบส่งให้ทันตามกำหนด ความเร่งด่วนทำให้หลายคนมองข้ามสัญญาณเตือนจากรถ เมื่อรถเริ่มสั่น แอร์ไม่เย็น หรือเบรกมีเสียงผิดปกติ แต่กลับไม่มีเวลาเอาไปเช็ค เพราะคิดว่า "ยังพอไหว" หรือ "เดี๋ยวค่อยดู" จนกระทั่งวันหนึ่งรถเกิดปัญหาใหญ่กลางทาง

การเช็ครถก่อนออกถนนจึงไม่ใช่เรื่องเสียเวลา แต่คือ "การป้องกันต้นทุนไม่ให้หาย" โดยเฉพาะคนที่ขับรถส่งของ รถตัวเอง เป็นการลงทุนเวลาเพียงไม่กี่นาทีเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจต้องเสียเวลาและเงินทองมากกว่า บทความนี้จะรวบรวมเช็คลิสต์ง่ายๆ ที่คนขับรถส่งของควรทำเป็นประจำ เพื่อให้รถพร้อมใช้งานและปลอดภัยในทุกเที่ยวการเดินทาง

ทำไมคนขับรถส่งของต้องเช็ครถบ่อยกว่าคนทั่วไป

รถที่ใช้ในการขนส่งสินค้าหรือขนของหนักทุกวันต้องรับภาระ "มากกว่ารถใช้งานทั่วไป" หลายเท่า ชิ้นส่วนต่างๆ ของรถ ไม่ว่าจะเป็นช่วงล่าง เครื่องยนต์ ระบบเบรก หรือยาง ต้องทำงานหนักกว่าปกติเพื่อรองรับน้ำหนักที่มากขึ้น

1. ระบบช่วงล่าง - รับน้ำหนักมากกว่าปกติ ทำให้โช้คอัพ สปริง และบู๊ชต่างๆ สึกหรอเร็วขึ้น

2. เครื่องยนต์ - ทำงานหนักขึ้นเพื่อขับเคลื่อนน้ำหนักที่มากขึ้น ส่งผลให้เครื่องร้อนเร็ว และชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์สึกหรอมากขึ้น

3. ระบบเบรก - ต้องทำงานหนักเพื่อหยุดรถที่มีน้ำหนักมากขึ้น ทำให้ผ้าเบรกและจานเบรกสึกเร็วกว่าปกติ

4. ยาง - รับน้ำหนักมากขึ้น เสี่ยงต่อการสึกไม่สม่ำเสมอและอายุการใช้งานที่สั้นลง

5. น้ำมันเชื้อเพลิง - สิ้นเปลืองมากขึ้นเนื่องจากรถต้องใช้กำลังมากขึ้นในการขับเคลื่อน

การแบกของหนักทำให้รถสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้นและชิ้นส่วนต่างๆ สึกหรอเร็วกว่ารถที่ใช้งานทั่วไป การมีรถที่พร้อมใช้งานอยู่เสมอคือหลักประกันว่าจะมีรายได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องหยุดงานเพราะรถเสีย

เช็คลิสต์ดูแลรถก่อนออกถนน (ทำได้ทุกวันก่อนสตาร์ท)

เช็คลิสต์ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่คนขับรถส่งของควรตรวจสอบทุกวันก่อนออกเดินทาง ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีแต่สามารถป้องกันปัญหาใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทางได้

1. น้ำมันเครื่อง

- จอดรถบนพื้นราบและดับเครื่อง

- รอให้เครื่องเย็น (หรือเช็คก่อนสตาร์ทในตอนเช้า)

- ดึงก้านวัดน้ำมันเครื่อง เช็ดให้สะอาด แล้วเสียบกลับเข้าไปใหม่

- ดึงออกมาอีกครั้งเพื่อดูระดับน้ำมัน ควรอยู่ระหว่างขีด MIN และ MAX

- สังเกตสีและความข้น หากน้ำมันเครื่องมีสีดำคล้ำหรือข้นผิดปกติ ควรเปลี่ยนทันที

2. น้ำหล่อเย็น

- ตรวจสอบระดับน้ำในถังพักน้ำหล่อเย็น (ไม่ต้องเปิดฝาหม้อน้ำโดยตรง)

- ระดับน้ำควรอยู่ระหว่างขีด MIN และ MAX

- หากน้ำน้อย ให้เติมน้ำหล่อเย็นผสมน้ำกลั่นตามอัตราส่วนที่กำหนด

- สังเกตสีของน้ำหล่อเย็น หากมีสีขุ่นหรือเปลี่ยนสี อาจมีปัญหาในระบบหล่อเย็น

3. ลมยางและสภาพยาง

- ตรวจแรงดันลมยางทุกเช้าก่อนออกเดินทาง (ยางยังเย็นอยู่)

- ปรับแรงดันตามค่าที่แนะนำในคู่มือรถ โดยเฉพาะเมื่อบรรทุกของหนัก

- ให้ความสำคัญกับยางหลังเป็นพิเศษ เพราะรับน้ำหนักมากกว่า

- ตรวจสอบสภาพดอกยาง รอยแตก รอยฉีก หรือวัตถุแปลกปลอมที่อาจเสียบติดอยู่

- สังเกตการสึกหรอที่ไม่สม่ำเสมอ ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงปัญหาในระบบช่วงล่างหรือศูนย์ล้อ

4. เบรกและน้ำมันเบรก

- ตรวจสอบระดับน้ำมันเบรกในกระปุกเก็บ ต้องอยู่ระหว่างขีด MIN และ MAX

- เหยียบเบรกเบาๆ สังเกตความหนืดของแป้นเบรก หากแป้นเบรกยุบตัวมากเกินไปหรือแข็งผิดปกติ อาจมีปัญหาในระบบเบรก

- สังเกตเสียงผิดปกติขณะเบรก เช่น เสียงดังเอี๊ยด เสียงครูด หรือเสียงโลหะกระทบกัน

- ทดสอบประสิทธิภาพเบรกในพื้นที่ปลอดภัย ก่อนออกสู่ถนนใหญ่

5. ไฟหน้า-ไฟเบรก-ไฟเลี้ยว

- เปิดไฟหน้าและลงไปตรวจสอบว่าไฟทั้งสองด้านติดสว่างดีหรือไม่

- ทดสอบไฟสูง-ไฟต่ำ ว่าทำงานปกติ

- เหยียบเบรกและให้คนช่วยดูว่าไฟเบรกติดทั้งสองด้านหรือไม่

- เปิดไฟเลี้ยวซ้าย-ขวา และไฟฉุกเฉิน ตรวจสอบว่าทำงานปกติ

- ตรวจสอบไฟท้ายและไฟส่องป้ายทะเบียนด้วย

6. ใบปัดน้ำฝน-น้ำฉีดกระจก

- ตรวจสอบสภาพใบปัดน้ำฝน มองหาร่องรอยแตก ฉีกขาด หรือเสื่อมสภาพ

- ทดสอบการทำงานของใบปัดน้ำฝนที่ความเร็วต่างๆ

- เติมน้ำฉีดกระจกในถังเก็บให้เพียงพอ

- ทดสอบการฉีดน้ำล้างกระจก ควรฉีดได้แรงและกระจายทั่วบริเวณที่ใบปัดทำงาน

7. แบตเตอรี่

- ตรวจสอบขั้วแบตเตอรี่ว่ามีคราบขาวหรือคราบสีเขียวหรือไม่ หากมี ให้ทำความสะอาด

- ตรวจสอบความแน่นของสายไฟที่ต่อกับขั้วแบตเตอรี่

- ในแบตเตอรี่แบบเติมน้ำกลั่น ให้ตรวจระดับน้ำกลั่นเป็นประจำ

- สังเกตว่ารถสตาร์ทติดง่ายหรือไม่ หากสตาร์ทยากขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นสัญญาณว่าแบตเตอรี่เริ่มเสื่อม

8. บรรทุกของไม่เกินพิกัด

- รู้พิกัดน้ำหนักบรรทุกสูงสุดของรถคุณ (ดูได้จากคู่มือรถ)

- ประเมินน้ำหนักสิ่งของที่จะบรรทุกก่อนเสมอ

- สังเกตว่ารถยุบตัวลงมากผิดปกติหรือไม่เมื่อบรรทุกของ

- กระจายน้ำหนักให้สมดุล ไม่บรรทุกหนักเกินไปด้านใดด้านหนึ่ง

วางแผนตรวจเช็คระยะ ให้รถอยู่กับเราได้นาน

นอกจากการตรวจเช็ครถประจำวันและประจำสัปดาห์แล้ว การวางแผนซ่อมบำรุงตามระยะทางก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะสำหรับรถส่งของที่มีการใช้งานหนักและสะสมระยะทางเร็วกว่ารถทั่วไป นี่คือแนวทางในการวางแผนเช็คระยะตามระยะทาง

ทุก 5,000 กิโลเมตร

เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง - น้ำมันเครื่องเป็นเลือดหล่อเลี้ยงเครื่องยนต์ การเปลี่ยนตามกำหนดช่วยยืดอายุเครื่องยนต์

เปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง - ควรเปลี่ยนพร้อมน้ำมันเครื่องทุกครั้ง

ตรวจสอบระดับของเหลวต่างๆ - น้ำหล่อเย็น น้ำมันเบรก น้ำมันเกียร์ น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์

ทุก 10,000 กิโลเมตร

ตรวจสอบและตั้งศูนย์ล้อ - การตั้งศูนย์ล้อช่วยให้ยางสึกสม่ำเสมอและประหยัดน้ำมัน

ตรวจสอบผ้าเบรกและจานเบรก - ระบบเบรกเป็นหัวใจของความปลอดภัย

ตรวจสอบระบบช่วงล่าง - โช้คอัพ บู๊ช ลูกหมาก และชิ้นส่วนอื่นๆ

ทำความสะอาดหรือเปลี่ยนไส้กรองอากาศ - ไส้กรองอากาศสะอาดช่วยให้เครื่องยนต์หายใจได้ดีขึ้น

สลับยาง - สลับยางเพื่อให้ยางสึกอย่างสม่ำเสมอ

ทุก 20,000 กิโลเมตร

เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ - น้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพตามกาลเวลาและการใช้งาน

เปลี่ยนน้ำมันเบรก - น้ำมันเบรกดูดความชื้นจากอากาศ ทำให้ประสิทธิภาพลดลงเมื่อเวลาผ่านไป

ตรวจสอบแบตเตอรี่อย่างละเอียด - ทั้งระดับน้ำกลั่น ความหนาแน่นของกรด และความสามารถในการเก็บประจุ

ตรวจสอบและปรับตั้งวาล์ว (หากจำเป็น) - การปรับตั้งวาล์วช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานมีประสิทธิภาพ

ตรวจสอบระบบไฟฟ้า - สายไฟ ฟิวส์ และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ

ทุก 40,000 กิโลเมตร

ตรวจสอบระบบปรับอากาศ - ประสิทธิภาพของแอร์ สารทำความเย็น และการทำงานของพัดลม

ตรวจสอบพวงมาลัยเพาเวอร์อย่างละเอียด - ทั้งการรั่วซึม การทำงาน และสภาพของสายพาน

ตรวจสอบลูกหมาก ลูกปืนล้อ - ชิ้นส่วนเหล่านี้มีความสำคัญต่อความปลอดภัยในการขับขี่

ตรวจสอบระบบไอเสีย - หาการรั่วซึม การอุดตัน หรือความเสียหาย

เปลี่ยนหัวเทียน - ในรถบางรุ่น หัวเทียนอาจใช้ได้นานกว่านี้ขึ้นอยู่กับชนิดของหัวเทียน

สรุป

สำหรับคนที่ขับรถส่งของโดยใช้รถตัวเอง รถไม่ใช่เพียงพาหนะ แต่เป็นเครื่องมือทำมาหากินที่สำคัญ รถเสียหนึ่งวันหมายถึงรายได้หายไปหนึ่งวัน และหากเป็นการเสียหายใหญ่ อาจต้องหยุดงานหลายวันหรือหลายสัปดาห์ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้และความมั่นคงทางการเงิน

ดูแลรถเหมือนดูแลอาชีพของคุณ เพราะถ้ารถพร้อม คุณก็พร้อมขับชีวิตไปข้างหน้าได้ทุกวัน การลงทุนเวลาและทรัพยากรในการดูแลรักษารถอย่างถูกวิธี จึงเป็นการดูแลความมั่นคงในอาชีพและรายได้ของคุณเองไปพร้อมกัน

สำหรับใครที่ต้องการกู้สินเชื่อ สินเชื่อรถแลกเงินเป็นหนึ่งในคำตอบและวิธีการที่ดีที่สุดของคุณ กับเงินให้ใจที่มีความน่าเชื่อถือจากบริษัท เงินให้ใจ จำกัด เป็นบริษัทที่ให้บริการ สินเชื่อรถ ซึ่งปัจจุบันลูกค้าสามารถขอใช้บริการได้ที่ ธนาคารกสิกรไทย ทุกสาขา และศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม คำนวณวงเงินสินเชื่อและสมัครสินเชื่อได้ทันทีที่ https://www.ngernhaijai.com/

“กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี สินเชื่อจำนำเล่มทะเบียนรถ 12.82% - 24.00% สินเชื่อโอนเล่มทะเบียนรถ แบ่งเป็นกรณีบุคคลธรรมดามีวัตถุประสงค์ใช้รถเพื่อการส่วนตัว 6.08% - 15.00% และกรณีบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ใช้รถเพื่อการพาณิชย์ 6.08% - 26.62%”

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

Website : https://www.ngernhaijai.com/

Line : https://bit.ly/3zDd5Kz

เงินให้ใจ โทร : 02 078 8899

เผยแพร่ 13 พ.ย. 2568

บทความอื่น ๆ

รถแลกเงิน

ห้ามพลาด! พิกัดร้านอาหารอร่อยในหัวหินที่คุณต้องลอง

แนะนำ 10 ร้านอาหารหัวหินที่ต้องลอง! บ้านอิสระ ร้านโกหมาก ร้านสุข สุกโภชนา และอีกมากมาย พร้อมเมนูเด็ด ที่อยู่ เบอร์โทร และลิงก์แผนที่ครบจบในที่เดียว

เผยแพร่ 18 ธ.ค. 2568

รถแลกเงิน

เส้นทางไหว้พระ 9 วัดรับปีใหม่ เดินทางง่าย สำหรับสายมูมือใหม่

ชวนไหว้พระ 9 วัดรับปีใหม่ 2025 เริ่มวัดพระแก้ว-วัดโพธิ์-วัดอรุณ พร้อมพิกัด แผนที่ เส้นทางเดินทางง่าย ไม่ไกลกัน เหมาะสำหรับมือใหม่ ขอพรรับปีใหม่ให้เฮง

เผยแพร่ 18 ธ.ค. 2568

รถมีกลิ่นอับ

รถมีกลิ่นอับแต่ไม่ชอบน้ำหอมแรง? รวมวิธีทำให้รถหอมแบบธรรมชาติ นั่งสบายไม่เวียนหัว

รถมีกลิ่นอับหรือเหม็นกลิ่นน้ำมัน? เรียนรู้วิธีดับกลิ่นรถแบบธรรมชาติที่ไม่ทำให้เวียนหัว พร้อมแนะนำน้ำหอมรถที่หอมอ่อนๆ และวิธีป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์

เผยแพร่ 17 ธ.ค. 2568