จัดพอร์ตการเงินยังไงให้ไม่เจ๊ง! ปลอดภัยแต่โตได้ในยุคเสี่ยง

ในยุคปัจจุบันที่เศรษฐกิจผันผวนและมีความไม่แน่นอนสูง การเงินส่วนบุคคลจึงเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญ หลายคนอาจสงสัยว่าจะจัดการเงินยังไงให้ปลอดภัยแต่ยังคงเติบโตได้ ในบทความนี้ เงินให้ใจจะพาคุณไปเรียนรู้เทคนิคบริหารเงินและจัดพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ทำไมต้องจัดพอร์ตการเงิน?

การเงินส่วนบุคคลที่ดีต้องมีการกระจายความเสี่ยงและสร้างความสมดุล การจัดพอร์ตการเงินเป็นการแบ่งเงินออกเป็นส่วนต่างๆ เพื่อให้เหมาะกับเป้าหมายแต่ละด้าน ทั้งความปลอดภัย ความเติบโต และสภาพคล่องทางการเงิน การจัดพอร์ตที่ดีจะช่วยให้คุณมีเงินใช้เมื่อจำเป็น มีเงินออมสำหรับอนาคต และมีเงินลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว

การมีพอร์ตการเงินที่หลากหลายจะช่วยลดความเสี่ยงจากการที่เศรษฐกิจหรือตลาดการเงินในบางภาคส่วนมีปัญหา หากคุณใส่เงินไว้ในที่เดียว เมื่อเกิดปัญหาขึ้น คุณอาจสูญเสียเงินจำนวนมาก แต่หากกระจายความเสี่ยง แม้บางส่วนจะขาดทุน แต่ส่วนอื่นอาจยังคงให้ผลตอบแทนที่ดี

หลักการพื้นฐานของการจัดพอร์ตการเงิน

การจัดพอร์ตการเงินที่ดีควรยึดหลัก 50/30/20 เป็นพื้นฐาน คือ 50% สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น 30% สำหรับค่าใช้จ่ายส่วนตัว และ 20% สำหรับการออมและลงทุน อย่างไรก็ตาม สัดส่วนนี้สามารถปรับได้ตามสถานการณ์และเป้าหมายของแต่ละคน

สำหรับการบริหารเงินในส่วนของการออมและลงทุน ควรแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ เงินฉุกเฉิน เงินออมระยะสั้น และเงินลงทุนระยะยาว เงินฉุกเฉินควรมีประมาณ 3-6 เดือนของค่าใช้จ่าย เงินออมระยะสั้นสำหรับเป้าหมายใน 1-3 ปีข้างหน้า และเงินลงทุนระยะยาวสำหรับเป้าหมายที่ห่างไกลกว่า 5 ปีขึ้นไป

4 เสาหลักของพอร์ตการเงินที่แข็งแกร่ง

บ้านที่แข็งแรงต้องมีเสาหลักที่แข็งแกร่ง การเงินส่วนบุคคลก็เช่นกัน ต้องมี 4 เสาหลักที่ช่วยค้ำจุนให้พอร์ตการเงินของคุณมั่นคงและเติบโตได้อย่างยั่งยืน การมีเสาทั้ง 4 นี้ครบถ้วนจะทำให้คุณพร้อมรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจและสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว แต่ละเสามีบทบาทและความสำคัญที่แตกต่างกัน

1. เสาเงินฉุกเฉิน (Emergency Fund)

เงินฉุกเฉินเป็นรากฐานสำคัญของการเงินส่วนบุคคล ควรเก็บไว้ในรูปแบบที่เข้าถึงได้ง่าย เช่น เงินฝากออมทรัพย์ หรือเงินฝากประจำระยะสั้น เงินส่วนนี้ไม่ต้องคิดเรื่องผลตอบแทนสูง แต่ต้องมั่นใจได้ว่าเมื่อจำเป็นสามารถเอาออกมาใช้ได้ทันที

การมีเงินฉุกเฉินจะช่วยป้องกันไม่ให้คุณต้องกู้เงินหรือขายเงินลงทุนในราคาขาดทุนเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น การตกงาน การเจ็บป่วย หรือค่าใช้จ่ายฉุกเฉินอื่นๆ การบริหารเงินด้านนี้ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก

2. เสาการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม (Conservative Investment)

สำหรับเงินที่ต้องการความปลอดภัยสูงแต่อยากได้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝาก การลงทุนในหุ้นกู้รุ่นใหญ่ พันธบัตรรัฐบาล หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ เป็นตัวเลือกที่ดี เครื่องมือเหล่านี้มีความเสี่ยงต่ำแต่ให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ

การลงทุนแบบอนุรักษ์นิยมเหมาะกับคนที่ใกล้เกษียณ หรือมีเป้าหมายการเงินในระยะสั้น เช่น การซื้อบ้าน การศึกษาของลูก หรือการเตรียมเงินสำหรับค่าใช้จ่ายสำคัญใน 2-5 ปีข้างหน้า

3. เสาการลงทุนเพื่อการเติบโต (Growth Investment)

ส่วนนี้จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นแต่ให้ผลตอบแทนที่คาดหวังสูงกว่า เช่น การลงทุนในหุ้น กองทุนรวมหุ้น หรือ Real Estate Investment Trust (REITs) การลงทุนประเภทนี้เหมาะกับคนที่มีเวลาลงทุนระยะยาวและสามารถรับความผันผวนได้

การบริหารเงินในส่วนนี้ต้องใจเย็นและมีความอดทน เพราะราคาอาจผันผวนในระยะสั้น แต่ในระยะยาวมักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนอนุรักษ์นิยม สำคัญคือต้องศึกษาและเข้าใจการลงทุนแต่ละประเภทให้ดีก่อนตัดสินใจ

4. เสาการลงทุนทางเลือก (Alternative Investment)

นี่คือส่วนที่หลายคนมองข้าม แต่สำคัญไม่แพ้เสาอื่นๆ การลงทุนทางเลือกอาจรวมถึงการลงทุนในทักษะตัวเอง การศึกษาเพิ่มเติม การทำธุรกิจเสริม หรือแม้แต่การลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ เช่น ทองคำ

การลงทุนในตัวเองเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในระยะยาว เพราะจะช่วยเพิ่มความสามารถในการหารายได้และสร้างความมั่นคงให้กับการเงินส่วนบุคคล

เทคนิคการจัดสัดส่วนพอร์ตตามช่วงอายุ

การจัดสัดส่วนพอร์ตการเงินควรพิจารณาจากอายุและระยะเวลาที่เหลือก่อนเกษียณ คนหนุ่มสาวที่มีเวลายาวสามารถเสี่ยงได้มากกว่า ในขณะที่คนที่ใกล้เกษียณควรเน้นความปลอดภัยมากขึ้น

สำหรับคนอายุ 20-30 ปี อาจจัดสัดส่วน 70% ในการลงทุนเพื่อการเติบโต และ 30% ในการลงทุนอนุรักษ์นิยม คนอายุ 40-50 ปี อาจปรับเป็น 50-50 และคนอายุ 60 ปีขึ้นไป อาจจัด 30% ในการลงทุนเพื่อการเติบโต และ 70% ในการลงทุนอนุรักษ์นิยม

ข้อผิดพลาดที่ต้องหลีกเลี่ยง

การจัดการเงินมีข้อผิดพลาดหลายประการที่ควรหลีกเลี่ยง อันดับแรกคือการไม่มีเงินฉุกเฉิน หลายคนรีบไปลงทุนทั้งหมดโดยไม่เก็บเงินสำรองไว้ ทำให้เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดต้องขายเงินลงทุนในราคาขาดทุน

ข้อผิดพลาดที่สองคือการใส่เงินไข่ไว้ในตะกร้าเดียว การลงทุนในหุ้นบริษัทเดียว หรือสินทรัพย์ประเภทเดียวทั้งหมด เป็นความเสี่ยงสูงมาก การกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญในการบริหารเงิน

ข้อผิดพลาดที่สามคือการซื้อขายบ่อยเกินไป หรือการพยายามจับจังหวะตลาด การลงทุนระยะยาวโดยปกติจะให้ผลดีกว่าการซื้อขายบ่อยๆ ซึ่งจะสูญเสียเงินจากค่าธรรมเนียมและภาษี

กลยุทธ์รับมือกับความผันผวนของตลาด

ในยุคที่เศรษฐกิจและตลาดการเงินผันผวน การมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมจึงสำคัญมาก การบริหารเงินแบบ Dollar Cost Averaging เป็นเทคนิคที่ดี คือการลงทุนเป็นจำนวนเงินคงที่เป็นประจำทุกเดือน ไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง เทคนิคนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาดผิด

การมีแผนการเงินที่ชัดเจนและยึดมั่นในแผนนั้นก็สำคัญเช่นกัน เมื่อตลาดผันผวน อารมณ์มักจะมาก่อนเหตุผล การมีแผนที่วางไว้ล่วงหน้าจะช่วยให้คุณไม่ตัดสินใจผิดพลาดจากอารมณ์

สรุป

การจัดพอร์ตการเงินที่ดีไม่ใช่เรื่องยากหากมีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง การมีการเงินส่วนบุคคลที่มั่นคงต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบ การกระจายความเสี่ยง และการบริหารเงินอย่างมีระเบียบ

สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้และสร้างนิสัยการออมและลงทุนที่ดี แม้จะเริ่มจากจำนวนเงินเล็กน้อย แต่หากทำอย่างต่อเนื่องและมีระเบียบ ในระยะยาวจะสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงทางการเงินได้

สำหรับใครที่ต้องการกู้สินเชื่อ สินเชื่อรถแลกเงินเป็นหนึ่งในคำตอบและวิธีการที่ดีที่สุดของคุณ กับเงินให้ใจที่มีความน่าเชื่อถือจากบริษัท เงินให้ใจ จำกัด เป็นบริษัทที่ให้บริการสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งปัจจุบันลูกค้าสามารถขอใช้บริการได้ที่ ธนาคารกสิกรไทย ทุกสาขา และศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม คำนวณวงเงินสินเชื่อและสมัครสินเชื่อได้ทันทีที่ https://www.ngernhaijai.com/

“กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี สินเชื่อจำนำเล่มทะเบียนรถ 12.82% - 24.00% สินเชื่อโอนเล่มทะเบียนรถ แบ่งเป็นกรณีบุคคลธรรมดามีวัตถุประสงค์ใช้รถเพื่อการส่วนตัว 6.08% - 15.00% และกรณีบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ใช้รถเพื่อการพาณิชย์ 6.08% - 26.62%”

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

Website : https://www.ngernhaijai.com/

Line : https://bit.ly/3zDd5Kz

เงินให้ใจ โทร : 02 078 8899