ออมเงินแบบไหนดี เกษียณอายุ

อยากเกษียณแบบชิลๆ ต้องออมเท่าไหร่? มีคำตอบให้ไม่เครียด!

ใครๆ ก็ฝันถึงวัยเกษียณที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสบาย ไม่ต้องตื่นเช้าไปทำงาน มีเวลาทำในสิ่งที่รัก เที่ยวไปในที่ต่างๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินทอง แต่ความจริงแล้ว การจะมีเกษียณอายุแบบชิลๆ นั้น ต้องอาศัยการวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบตั้งแต่เนิ่นๆ บทความนี้ เงินให้ใจจะพาคุณไปรู้จักกับวิธีคำนวณเงินออมเพื่อวัยเกษียณ และแนวทางการออมเงินที่เหมาะสม ออมเงินแบบไหนดี เพื่อให้คุณสามารถใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างมีความสุขโดยไม่เป็นภาระของลูกหลาน

เกษียณ

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการออมเพื่อเกษียณที่ควรรู้

หลายคนมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการออมเพื่อวัยเกษียณ ทำให้เริ่มต้นช้าเกินไปจนอาจส่งผลเสียต่ออนาคต ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย ได้แก่

1. "การออมเพื่อเกษียณเป็นเรื่องของคนอายุมาก" - ความจริงแล้ว การเกษียณอย่างมีความสุขต้องอาศัยการวางแผนล่วงหน้าในระยะยาวตั้งแต่เริ่มต้นทำงาน การเริ่มออมเร็วจะช่วยให้เงินมีเวลาทำงานและงอกเงยจากพลังของดอกเบี้ยทบต้น

2. "ฉันมีกองทุนประกันสังคม/กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการแล้ว ไม่จำเป็นต้องออมเพิ่ม" - แม้จะมีกองทุนเหล่านี้ แต่มักไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตหลังเกษียณที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงอัตราเงินเฟ้อและค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้น

3. "เมื่อเกษียณแล้ว ค่าใช้จ่ายจะลดลงมาก ไม่ต้องใช้เงินเยอะ" - แม้ค่าใช้จ่ายบางอย่างจะลดลง แต่ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจะเพิ่มขึ้น และคุณอาจต้องการเงินสำหรับกิจกรรมพักผ่อนหรือท่องเที่ยวมากขึ้น

4. "ฉันจะทำงานไปเรื่อยๆ ไม่มีวันเกษียณ" - สภาพร่างกายและความต้องการของตลาดแรงงานอาจไม่เอื้ออำนวย การมีเงินออมจะช่วยให้คุณมีทางเลือกมากขึ้นเมื่อไม่สามารถทำงานต่อได้

พลังของการเริ่มออมเร็ว

สมมติว่าคุณตั้งเป้าหมายจะออมเงินให้ได้ 1 ล้านบาทสำหรับวัยเกษียณ โดยคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ย 5% ต่อปี

เริ่มออมตั้งแต่อายุ 31 ปี : คุณจะต้องออมเพียงปีละ 15,000 บาท (เดือนละ 1,250 บาท) เพื่อให้มีเงิน 1 ล้านบาทเมื่ออายุ 60 ปี โดยเงินที่คุณออมจริงๆ จะเป็นเพียง 450,000 บาท (15,000 × 30 ปี) ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 550,000 บาทเป็นผลตอบแทนจากการลงทุน

เริ่มออมเมื่ออายุ 51 ปี : คุณจะต้องออมถึงปีละ 76,000 บาท (เดือนละ 6,333 บาท) เพื่อให้มีเงิน 1 ล้านบาทเมื่ออายุ 60 ปี โดยเงินที่คุณออมจริงๆ จะเป็นถึง 760,000 บาท (76,000 × 10 ปี) และได้ผลตอบแทนจากการลงทุนเพียง 240,000 บาท

จะเห็นได้ว่า การเริ่มออมเร็วกว่าเพียง 20 ปี ทำให้คุณต้องออมน้อยกว่าถึง 5 เท่า! นี่คือพลังของดอกเบี้ยทบต้นที่จะช่วยให้เงินของคุณทำงานหนักขึ้นเมื่อมีเวลามากขึ้น

4 รู้สู่การเกษียณสุข

การวางแผนเพื่อการเกษียณอย่างมีความสุขนั้น เริ่มต้นจากการประเมินสถานการณ์ทางการเงินของตนเอง โดยมี 4 ข้อที่ควรรู้ ดังนี้

1. รู้รายรับต่อเดือน แหล่งที่มา และความมั่นคงของรายรับ

หลังเกษียณ รายรับของคุณอาจมาจากหลายแหล่ง เช่น

- ข้าราชการ : บำเหน็จหรือบำนาญ และเงินจากกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)

- พนักงานบริษัทเอกชน : เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนประกันสังคม

- ผู้ประกอบการ/อาชีพอิสระ : เงินออมส่วนตัว เงินจากการขายกิจการ หรือรายได้จากการลงทุน

- แหล่งอื่นๆ : รายได้จากทรัพย์สินให้เช่า เงินปันผลจากการลงทุน หรือผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ

การรู้แหล่งที่มาของรายรับจะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการออมเพิ่มเติมได้อย่างเหมาะสม

2. รู้รายจ่ายต่อเดือน เทียบกับรายรับที่คาดว่าจะได้รับ

โดยทั่วไป ค่าใช้จ่ายหลังเกษียณมักจะลดลงประมาณ 70-80% ของค่าใช้จ่ายก่อนเกษียณ เช่น หากก่อนเกษียณมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 30,000 บาท หลังเกษียณอาจเหลือประมาณ 21,000-24,000 บาท

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ยังไม่รวมผลกระทบจากเงินเฟ้อและค่ารักษาพยาบาลที่อาจเพิ่มขึ้นตามวัย การเริ่มบันทึกรายรับ-รายจ่ายตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้คุณสามารถประเมินค่าใช้จ่ายในอนาคตได้แม่นยำขึ้น

3. รู้หลักประกันความมั่นคงทางการเงิน

นอกจากการมีเงินออมแล้ว คุณควรพิจารณาหลักประกันความมั่นคงทางการเงินอื่นๆ เช่น

- สวัสดิการที่สามารถเบิกได้หลังเกษียณ

- ความคุ้มครองของประกันสุขภาพ

- ทรัพย์สินที่สามารถสร้างรายได้ เช่น อสังหาริมทรัพย์ให้เช่า

หากพบว่าหลักประกันยังไม่เพียงพอ ควรพิจารณาออมหรือซื้อประกันเพิ่มเติม

4. รู้ปัจจัยที่อาจมีผลต่อรายรับ-รายจ่าย

มีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อแผนการเงินหลังเกษียณของคุณ เช่น

- อัตราเงินเฟ้อที่ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น

- ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่กระทบต่ออัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนจากการลงทุน

- จำนวนปีที่คาดว่าจะมีชีวิตอยู่หลังเกษียณ (อายุขัยที่ยาวนานขึ้น)

- ภาระทางการเงินจากครอบครัว เช่น การช่วยเหลือลูกหลาน

การเตรียมความพร้อมรับมือกับปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้แผนการเงินของคุณยืดหยุ่นและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น

สูตรคำนวณเงินที่ต้องมีในวันเกษียณ

การประมาณการจำนวนเงินที่ต้องมีเพื่อใช้จ่ายหลังเกษียณ สามารถทำได้ 2 แนวทาง คือ

- แนวคิดที่ 1 : นำเงินออมมาใช้จ่ายหลังเกษียณ

ในแนวคิดนี้ คุณจะทยอยใช้เงินต้นและดอกผลจนหมดไป โดยสูตรคำนวณคือ:

จำนวนเงินที่ต้องมี ณ วันเกษียณ = ค่าใช้จ่ายต่อเดือน × 12 เดือน × จำนวนปีที่คาดว่าจะมีชีวิตอยู่หลังเกษียณ

ตัวอย่างเช่น หากประเมินว่าหลังเกษียณจะใช้จ่ายเดือนละ 25,000 บาท และคาดว่าจะมีชีวิตอยู่จนอายุ 80 ปี (เกษียณอายุ 60 ปี และอยู่ต่อไปอีก 20 ปี)

จำนวนเงินที่ต้องมี = 25,000 × 12 × 20 = 6,000,000 บาท

- แนวคิดที่ 2 : นำดอกผลของเงินออมและเงินลงทุนมาใช้จ่ายหลังเกษียณ

ในแนวคิดนี้ คุณจะใช้เฉพาะดอกผลจากเงินลงทุน โดยไม่แตะต้องเงินต้น สูตรคำนวณคือ:

จำนวนเงินที่ต้องมี ณ วันเกษียณ = (ค่าใช้จ่ายต่อปี) ÷ อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี

ตัวอย่างเช่น หากประเมินว่าหลังเกษียณจะใช้จ่ายเดือนละ 25,000 บาท (ปีละ 300,000 บาท) และคาดว่าอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของเงินออมและเงินลงทุนช่วงหลังเกษียณอยู่ที่ 6% ต่อปี

จำนวนเงินที่ต้องมี = 300,000 ÷ 0.06 = 5,000,000 บาท

ทั้งนี้ คุณสามารถใช้ทั้งสองแนวคิดผสมกันได้ เช่น แบ่งเงินก้อนหนึ่งไว้สำหรับใช้จ่ายในช่วง 10-15 ปีแรกหลังเกษียณ และอีกก้อนหนึ่งสำหรับลงทุนเพื่อให้ได้รับดอกผลใช้จ่ายในระยะยาว

ออมเงินแบบไหนดี? เทคนิคการออมเงินเพื่อวัยเกษียณให้ได้ผล

การออมเงินเพื่อวัยเกษียณให้มีประสิทธิภาพ ควรทำอย่างมีระบบและสม่ำเสมอ โดยมีเทคนิคดังนี้

1. เริ่มออมแต่เนิ่นๆ

- ตั้งเป้าหมาย : ออมเงินเพื่อเกษียณอย่างน้อย 10-15% ของรายได้ต่อเดือน

- วางระบบอัตโนมัติ : ตั้งระบบหักเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์หรือกองทุนโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับเงินเดือน

- เพิ่มสัดส่วนการออมเมื่อรายได้เพิ่ม : เมื่อได้เลื่อนขั้นหรือมีรายได้เพิ่ม ให้เพิ่มสัดส่วนการออมขึ้นด้วย

2. ใช้ประโยชน์จากกองทุนต่างๆ

- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ : สำหรับพนักงานบริษัทเอกชน ควรออมในอัตราสูงสุดที่บริษัทจะจ่ายสมทบให้

- กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) : สำหรับข้าราชการ ควรออมเพิ่มเติมในส่วนออมเพิ่ม

- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) : ช่วยลดหย่อนภาษีและส่งเสริมการออมระยะยาว

- กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) : สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือแรงงานนอกระบบ

3. กระจายการลงทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทน

- ปรับสัดส่วนการลงทุนตามช่วงอายุ : วัยหนุ่มสาวสามารถรับความเสี่ยงได้มากกว่า ควรลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น หุ้น

- ทยอยปรับลดความเสี่ยงเมื่ออายุมากขึ้น : เมื่อใกล้วัยเกษียณ ควรปรับพอร์ตการลงทุนให้เน้นความมั่นคงมากขึ้น

- กระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท : หุ้น พันธบัตร กองทุนรวม ทองคำ หรืออสังหาริมทรัพย์

4. สร้างรายได้เสริมก่อนเกษียณ

- พัฒนาทักษะที่สามารถสร้างรายได้หลังเกษียณ : เช่น งานที่ปรึกษา การสอนพิเศษ หรืองานฝีมือ

- ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า : สร้างรายได้ประจำในระยะยาว

- เริ่มธุรกิจเล็กๆ ที่สามารถดำเนินการได้หลังเกษียณ : เช่น ร้านค้าออนไลน์ ธุรกิจตามความสนใจ

การบริหารเงินหลังเกษียณให้อยู่ได้อย่างสบาย

เมื่อถึงวัยเกษียณ การบริหารเงินก้อนสุดท้ายของชีวิตเป็นเรื่องสำคัญมาก เพื่อให้มีเงินใช้อย่างเพียงพอตลอดช่วงชีวิตที่เหลือ ดังนี้

1. กระจายเงินออมและการลงทุนอย่างเหมาะสม

- เงินฝากออมทรัพย์สภาพคล่องสูง : ควรมีประมาณ 2-6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน เพื่อใช้ในชีวิตประจำวันและกรณีฉุกเฉิน

- เงินฝากประจำระยะต่างๆ : แบ่งฝากในระยะ 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี โดยให้มีระยะเวลาครบกำหนดเหลื่อมกัน

- พันธบัตรรัฐบาล : เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่แน่นอนในระยะปานกลาง-ยาว

- การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ-ปานกลาง : เช่น สลากออมทรัพย์ กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ หรือหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนที่มีความน่าเชื่อถือสูง

2. ควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีวินัย

- จัดทำงบประมาณและติดตามค่าใช้จ่าย : ควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ในกรอบที่กำหนด

- ระมัดระวังในช่วง 5 ปีแรกของการเกษียณ : ยังไม่ควรใช้จ่ายเกินกว่าอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่ได้รับ

- จัดลำดับความสำคัญของค่าใช้จ่าย : แยกระหว่างสิ่งจำเป็นและสิ่งที่อยากได้

3. ติดตามข่าวสารและปรับกลยุทธ์การลงทุน

- ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ : แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ ที่อาจมีผลกระทบต่อผลตอบแทนของเงินออมและเงินลงทุน

- ระวังภัยทางการเงิน : ระมัดระวังการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงผิดปกติ หรือการหลอกลวงทางการเงิน

ปรับพอร์ตการลงทุนเมื่อจำเป็น : ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์และความต้องการที่เปลี่ยนไป

4. วางแผนมรดกและการส่งต่อทรัพย์สิน

สำรวจและรวบรวมทรัพย์สิน : รวบรวมข้อมูลว่ามีทรัพย์สินอะไรบ้าง แต่ละอย่างมีมูลค่าเท่าใด

กำหนดการแบ่งทรัพย์สิน : วางแผนว่าต้องการให้แบ่งทรัพย์สินระหว่างทายาทอย่างไร

พยายามสะสางหนี้สิน : เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อกองมรดกที่ตั้งใจจะเก็บไว้ให้ลูกหลาน

สรุป

การวางแผนเกษียณอย่างรอบคอบไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยความมุ่งมั่นและวินัยในการออมอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไร โอกาสที่จะมีเงินเพียงพอสำหรับชีวิตหลังเกษียณที่มีความสุขก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น

เพราะการเกษียณอย่างมีความสุขไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการวางแผนและเตรียมการที่ดี เริ่มวางแผนตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้วันข้างหน้าคุณสามารถใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างสบายใจ ไม่เป็นภาระของลูกหลาน และมีอิสรภาพทางการเงินที่จะทำในสิ่งที่ใฝ่ฝัน

สำหรับใครที่ต้องการกู้ สินเชื่อรถตู้ สินเชื่อรถแลกเงินเป็นหนึ่งในคำตอบและวิธีการที่ดีที่สุดของคุณ กับเงินให้ใจที่มีความน่าเชื่อถือจากบริษัท เงินให้ใจ จำกัด เป็นบริษัทที่ให้บริการสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งปัจจุบันลูกค้าสามารถขอใช้บริการได้ที่ ธนาคารกสิกรไทย ทุกสาขา และศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม คำนวณวงเงินสินเชื่อและสมัครสินเชื่อได้ทันทีที่ https://www.ngernhaijai.com/

“กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี สินเชื่อจำนำเล่มทะเบียนรถ 12.82% - 24.00% สินเชื่อโอนเล่มทะเบียนรถ แบ่งเป็นกรณีบุคคลธรรมดามีวัตถุประสงค์ใช้รถเพื่อการส่วนตัว 6.08% - 15.00% และกรณีบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ใช้รถเพื่อการพาณิชย์ 6.08% - 26.62%”

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

Website : https://www.ngernhaijai.com/

Line : https://bit.ly/3zDd5Kz

เงินให้ใจ โทร : 02 078 8899

เผยแพร่ 17 ก.ค. 2568

บทความอื่น ๆ

เงินเฟ้อ

เงินเฟ้อพุ่ง รายได้เท่าเดิม! อัพเกรดการเงินส่วนตัวยังไงให้อยู่รอด

เงินเฟ้อทำค่าครองชีพสูงขึ้น แต่รายได้ยังเท่าเดิม? เรียนรู้ 3 วิธีอัพเกรดการเงินส่วนตัว ปรับแผนการเงิน เพิ่มรายได้ และลงทุนป้องกันเงินเฟ้อให้อยู่รอด

เผยแพร่ 12 ก.ย. 2568

หนี้บัตรเครดิต

หนี้บ้าน หนี้รถ หนี้บัตรมาเต็ม! จัดการยังไง ปลดหนี้ไหนก่อนดี?

เรียนรู้วิธีแยกประเภทหนี้ดีและหนี้ที่ควรระวัง พร้อมเทคนิคประเมินความพร้อมทางการเงินก่อนตัดสินใจก่อหนี้ เพื่อให้หนี้เป็นเครื่องมือสร้างโอกาสอย่างชาญฉลาด

เผยแพร่ 12 ก.ย. 2568

หนี้

เช็กก่อนกู้: รู้จักหนี้ วางแผนดี ไม่มีพัง

เรียนรู้วิธีแยกประเภทหนี้ดีและหนี้ที่ควรระวัง พร้อมเทคนิคประเมินความพร้อมทางการเงินก่อนตัดสินใจก่อหนี้ เพื่อให้หนี้เป็นเครื่องมือสร้างโอกาสอย่างชาญฉลาด

เผยแพร่ 12 ก.ย. 2568