debt service ratio formula dsr คืออะไร

หนี้ต่อรายได้คืออะไร?เข้าใจ DSR ง่ายๆ ก่อนยื่นขอสินเชื่อไม่พลาด!

ยื่นสินเชื่อทีไรโดนปฏิเสธ ทั้งที่รายได้ก็มี? ความจริงแล้ว สิ่งที่สถาบันการเงินดูไม่ได้มีแค่ตัวเลขรายได้เท่านั้น แต่พวกเขาจะพิจารณา "ภาพรวมความสามารถในการชำระหนี้" ของคุณด้วย นั่นคือ DSR หรือ Debt Service Ratio ที่เป็นเหมือนกระจกส่องให้เห็นว่า รายได้ที่คุณมีนั้นถูกใช้ไปกับการผ่อนชำระหนี้สินต่างๆ มากน้อยแค่ไหน บทความนี้ เงินให้ใจ จะพาคุณมาเข้าใจเรื่อง DSR แบบง่ายๆ พร้อมสูตรคำนวณและวิธีประเมินว่าตัวเองอยู่ในจุดที่ "กู้ผ่านหรือเสี่ยงตก" เพื่อให้คุณสามารถวางแผนทางการเงินได้อย่างมั่นใจก่อนไปยื่นขอสินเชื่อ

DSR คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญเวลาขอสินเชื่อ

DSR ย่อมาจาก Debt Service Ratio หรือเรียกอีกอย่างว่า "อัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้" ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ธนาคารและสถาบันการเงินใช้ในการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ขอสินเชื่อ

โดยพื้นฐานแล้ว DSR เป็นการคำนวณว่า "คุณมีภาระหนี้ต่อรายได้มากแค่ไหน" ซึ่งจะบอกให้ธนาคารรู้ว่า หลังจากที่คุณจ่ายภาระหนี้ต่างๆ ที่มีอยู่แล้ว คุณยังมีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้เพิ่มเติมได้อีกหรือไม่

อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือ ยิ่ง DSR ต่ำ ยิ่งดี เพราะหมายความว่า คุณมีรายได้เหลือมากหลังจากที่จ่ายชำระหนี้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการรับภาระหนี้เพิ่มเติมได้

ในทางกลับกัน หาก DSR สูง แสดงว่าคุณใช้รายได้ส่วนใหญ่ไปกับการชำระหนี้แล้ว ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดปัญหาในการชำระหนี้ในอนาคต หากมีค่าใช้จ่ายฉุกเฉินหรือรายได้ลดลง

ด้วยเหตุนี้ DSR จึงเป็นเกณฑ์สำคัญที่สถาบันการเงินใช้ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ เพราะพวกเขาต้องการให้แน่ใจว่า คุณมีความสามารถในการชำระหนี้ที่จะเกิดขึ้นใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต

สูตรคำนวณ DSR ง่ายๆ

Debt Service Ratio Formula หรือสูตรในการคำนวณ DSR นั้นไม่ได้ซับซ้อน โดยมีวิธีคำนวณดังนี้

DSR = (ภาระหนี้ทั้งหมดต่อเดือน ÷ รายได้ต่อเดือน) × 100

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้น สมมติว่าคุณมี

- รายได้ต่อเดือน = 30,000 บาท

- ผ่อนรถ = 8,000 บาท

- ผ่อนมือถือ = 2,000 บาท

- ผ่อนบ้าน = 10,000 บาท

ภาระหนี้รวมทั้งหมดต่อเดือน = 8,000 + 2,000 + 10,000 = 20,000 บาท

นำมาคำนวณตามสูตร : DSR = (20,000 ÷ 30,000) × 100 = 66.7%

นั่นหมายความว่า คุณใช้รายได้ 66.7% ไปกับการชำระหนี้ ซึ่งถือว่าสูงเกินเกณฑ์ปกติที่สถาบันการเงินหลายแห่งกำหนดไว้ และอาจทำให้คุณมีโอกาส "กู้ไม่ผ่าน" หากต้องการขอสินเชื่อเพิ่มเติม

ข้อควรระวังในการคำนวณ DSR คือ ต้องรวมภาระหนี้ทุกประเภทที่มีการผ่อนชำระเป็นรายเดือน ไม่ว่าจะเป็นหนี้บ้าน หนี้รถ บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคลต่างๆ และใช้ยอดรายได้ที่แท้จริง โดยหากมีรายได้ไม่แน่นอน ควรใช้ค่าเฉลี่ยจากรายได้ย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือน

แล้ว DSR เท่าไรถึง "ปลอดภัย"?

เกณฑ์ DSR ที่เหมาะสมนั้นไม่มีมาตรฐานตายตัว สิ่งที่น่าสนใจคือ บางธนาคารจะดูทั้ง "DSR รวม" (ที่รวมทุกภาระหนี้) และ "DSR เฉพาะสินเชื่อใหม่" แยกกัน ยกตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังขอสินเชื่อบ้าน ธนาคารอาจกำหนดให้ DSR เฉพาะภาระผ่อนบ้านไม่เกิน 50% ของรายได้ แม้ว่า DSR รวมทั้งหมดจะสูงกว่านั้นก็ตาม

อย่างไรก็ตาม เกณฑ์เหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละสถาบันการเงินและสภาวะเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา จึงควรสอบถามข้อมูลล่าสุดจากสถาบันการเงินที่คุณต้องการยื่นขอสินเชื่อโดยตรง

ภาระหนี้สินที่นับใน DSR มีอะไรบ้าง

ในการคำนวณ DSR นั้น สถาบันการเงินจะนำภาระหนี้สินหลายประเภทมาพิจารณา ไม่ใช่แค่หนี้บ้านหรือหนี้รถเท่านั้น โดยภาระหนี้ที่มักถูกนำมาคิดใน DSR มีดังนี้

1. ค่าผ่อนบ้าน - ทั้งสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อกู้ซื้อที่ดิน หรือสินเชื่อเพื่อการปลูกสร้างบ้าน

2. ค่าผ่อนรถ - รวมถึงสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อรถแลกเงิน และสินเชื่อรถที่นำไปเป็นหลักประกัน

3. สินเชื่อส่วนบุคคล - รวมถึงสินเชื่อกลุ่มนาโนไฟแนนซ์และไมโครไฟแนนซ์ที่เป็นการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินที่ได้รับอนุญาต

4. หนี้บัตรเครดิต / บัตรกดเงินสด - โดยทั่วไปจะคิดจากยอดขั้นต่ำที่ต้องชำระ (ประมาณ 5-10% ของยอดหนี้คงค้าง) หรือในบางกรณีอาจคิดจากวงเงินที่ใช้ไปทั้งหมด

5. หนี้สหกรณ์ - หากคุณเป็นสมาชิกสหกรณ์และมีการกู้ยืมเงิน

6. หนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) - หากคุณยังอยู่ในช่วงผ่อนชำระคืนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา

7. หนี้เช่าซื้อสินค้าอื่นๆ - เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสินค้าที่ผ่อนชำระผ่านบริการต่างๆ

โดยสรุป ทุกภาระหนี้ที่ต้อง "ชำระเป็นงวด" จะถูกนำมาคิดใน DSR ทั้งหมด ซึ่งอาจรวมถึงภาระหนี้ที่คุณเป็นผู้ค้ำประกันในบางกรณีด้วย (ถ้าผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้)

สิ่งสำคัญคือ ธนาคารสามารถตรวจสอบภาระหนี้เหล่านี้ได้จากฐานข้อมูลเครดิตบูโร หรือเรียกอีกอย่างว่า บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (National Credit Bureau: NCB) ดังนั้น การปกปิดข้อมูลหนี้สินจึงเป็นเรื่องยาก และอาจส่งผลเสียต่อการพิจารณาสินเชื่อของคุณได้

สรุป

การรู้และเข้าใจเรื่อง DSR ไม่ได้เป็นประโยชน์เพียงแค่ในการ "กู้ผ่าน" เท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณใช้ชีวิตทางการเงินอย่างไม่เสี่ยงและมีความมั่นคงในระยะยาวอีกด้วย

สุดท้ายแล้ว การกู้ที่ดีไม่ได้หมายถึงแค่การยื่นผ่านธนาคารเท่านั้น แต่หมายถึงการ "กู้เท่าที่ไหว และผ่อนได้โดยไม่กระทบชีวิต" เพราะภาระหนี้ที่มากเกินไปอาจทำให้คุณต้องเผชิญกับความเครียดทางการเงินและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้

สำหรับใครที่ต้องการกู้สินเชื่อ สินเชื่อรถแลกเงินเป็นหนึ่งในคำตอบและวิธีการที่ดีที่สุดของคุณ กับเงินให้ใจที่มีความน่าเชื่อถือจากบริษัท เงินให้ใจ จำกัด เป็นบริษัทที่ให้บริการ สินเชื่อรถ ซึ่งปัจจุบันลูกค้าสามารถขอใช้บริการได้ที่ ธนาคารกสิกรไทย ทุกสาขา และศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม คำนวณวงเงินสินเชื่อและสมัครสินเชื่อได้ทันทีที่ https://www.ngernhaijai.com/

“กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี สินเชื่อจำนำเล่มทะเบียนรถ 12.82% - 24.00% สินเชื่อโอนเล่มทะเบียนรถ แบ่งเป็นกรณีบุคคลธรรมดามีวัตถุประสงค์ใช้รถเพื่อการส่วนตัว 6.08% - 15.00% และกรณีบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ใช้รถเพื่อการพาณิชย์ 6.08% - 26.62%”

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

Website : https://www.ngernhaijai.com/

Line : https://bit.ly/3zDd5Kz

เงินให้ใจ โทร : 02 078 8899

เผยแพร่ 13 พ.ย. 2568

บทความอื่น ๆ

ดอกเบี้ยผิดนัด

ดอกเบี้ยผิดนัดคืออะไร? ทำไม ยอดหนี้พุ่งเร็วกว่าที่คิด!

เข้าใจดอกเบี้ยผิดนัดภายใต้กฎหมายใหม่ ดอกเบี้ยสูงสุดคิดได้เท่าไร? ผิดนัดกี่วันเริ่มคิดดอก? และวิธีป้องกันไม่ให้ยอดหนี้บานแบบไม่รู้ตัว

เผยแพร่ 13 พ.ย. 2568

ค้ำประกัน

ก่อนจะ "ค้ำประกัน" ให้ใคร... คิดให้ดี! ไม่งั้นอาจเป็นหนี้แทนเพื่อนแบบงง ๆ

ค้ำประกันคืออะไร เสี่ยงแค่ไหน กระทบเครดิตยังไง เช็กให้ครบก่อนเซ็น พร้อมเช็กลิสต์ตัดสินใจที่ปลอดภัยกว่า

เผยแพร่ 13 พ.ย. 2568

แม่ค้า

แม่ค้า Street Food ยุคใหม่ต้องรู้! อัพเกรดการเงินให้เหลือเก็บทุกเดือน

ขายดีแต่ไม่รู้เงินหายไปไหน? รู้เทคนิคจัดการเงินแบบแม่ค้าสมัยใหม่ วางระบบเงินหมุน เก็บยังไงให้อยู่ เหลือกำไรทุกเดือนจริง

เผยแพร่ 13 พ.ย. 2568